อันเนื่องมาจาก Lock Down Bangkok ในวันที่ไม่มีรายได้แต่ค่าใช้จ่ายรอบตัวรุมเร้า...
.
เมื่อวานมีโอกาสได้ดูคลิปพิธีกรหญิงที่รวยมากกกกกระดับพันล้านคนหนึ่งออกมาสอนคนว่าช่วงวิกฤติโควิดแบบนี้ว่า ให้มองหาโอกาส ต้องกอบโกย ต้องรวย ชีวิตเรามีโจทย์ยื่นมาให้เราเสมอในยามที่เราลำบาก ถ้าเราท้อแท้เราจะย่ำอยู่กับที่ เราต้องหาโอกาสในวิกฤติ และเธอก็มุ่งสอนพวกเราว่า ต้องหาเงิน ต้อง รวย รวย และก็รวย
ผมอยากจะบอกมากเลยว่า ความเหลื่อมล้ำทางสังคมมันมีจริงนะครับ คนเรามันไม่ได้มีโอกาสในการทำมาหากินกันได้ง่ายๆแบบคนดังๆ แบบคนระดับอีลิท ที่สามารถต่อยอดได้แบบเงินต่อเงิน รู้จักดารา รู้จักคนดัง ทำขนมไปให้เค้ากิน ให้เค้าลง Instagram ให้ เราก็ต่อยอดได้ แต่คนรากหญ้า หรือคนธรรมดาแบบผมนี่แค่ไปฝากร้านตาม IG ดารา นี่ไม่ต้องทันให้ดาราลบหรอก แฟนคลับมารุมแหกแทนแล้ว และอยากจะบอกด้วยว่า คนธรรมดาๆขายของนี่ขายให้ตายปากเปียกปากแฉะ จะเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบหรือหาเงินทองมาทำทุนยังลำบากเลย
.
น่าหัวเราะคนไทยเราหลายๆคนที่บ้าดารา แต่วิกฤติแบบนี้เรากลับต้องมาเจอดาราโพสขายหน้ากากราคาแพง โพสขายแอลกอฮอล์เจลราครามหาโหด แล้วดาราก็ยังใช้คำพูดสวยหรูว่าทำมาขายเพื่อเป็นการขอบคุณแฟนๆ !!!
.
วิกฤติจากการ Lock Down รอบนี้ บอกเลยว่า มันยังไม่ได้เหมือนกับการปิดเมืองหรือปิดประเทศจริงๆที่ห้ามออกไปไหนมาไหนนะครับ เอาแค่ว่าปิดห้าง เปิดแค่ร้านอาหารให้ซื้อกลับบ้าน เปิดแค่ซุปเปอร์แค่นี้ การจ้างงานก็หดหายไปมหาศาลแล้ว พนักงานห้างนี่มากกว่าครึ่งเป็นลูกจ้างรายวันเป็นเด็กพาร์ทไทม์ ทั้งนั้น นึกถึงคำว่า ลูกจ้างรายวัน หรือเด็กพาร์ทไทม์ ทำงานรายชั่วโมงนะ พนักงานประจำกินเงินเดือน ไม่ได้ไปทำงานยัง work from home ยังได้เงินรเดือน อย่างเลวก็ลดเงินเดือน แต่พนักงานพาร์ทไทม์ ไม่มีงานทำ ไม่ได้ไปทำงาน รายได้คือ 0 บาทนะครับ
.
เด็กๆพาร์ทไทม์นี่ไม่ต้องคิดเรื่องตุนของ ตุนอาหารเลย แค่จะหาอะไรกินให้ผ่านไปแต่ละวันยังเหนื่อยเลย บางคนไม่ได้ปากเดียวท้องเดียวนะครับ ยังมีภาระด้วย อยู่บ้านนี่ไม่ได้ว่าไม่ม่ค่าใช้จ่ายนะครับ อยู่บ้านนี่ มิเตอร์ไฟก็ยังวิ่ง มิเตอร์น้ำก็ยังวิ่ง ค่ากิน ค่าอยู่ ก็ต้องมี แต่ไม่มีรายได้จะอยู่กันยังไง และเมื่อเหตุการณ์กลับมาปกติ การจ้างงาน และงานที่เราเคยทำจะยังอยู่กับเราหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
.
ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร ไหนใครจะต้องดูแลพ่อแม่บุพการีที่สูงวัย ต้องพาไปหาหมอ ต้องซื้อหยูกซื้อยา นี่ผมนึกสภาพไม่ออกเลยว่าคนเหล่านี้จะใช้ชีวิตกันยังไงในวันที่ขาดรายได้ 100% แบบนี้
.
ในช่วงเวลาแบบนี้ ไฟฟ้า ประปา นี่ถ้าจะช่วยเหลือประชาชนจริงๆ ลดหย่อนอะไรได้ก็ลด ลดค่าน้ำ ลดค่าไฟ เจ้าหนี้ บัตรเครดิต เจ้าหน้าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ พักชำระหนี้ ลดหย่อนดอกเบี้ย ช่วยเหลือกันได้ไหม เจ้าหนี้เงินกู้ในระบบ นอกระบบ งดทวงก่อน พักการทวงก่อนได้ไหม ผมว่าทุกคนสะบักสะบอม สาหัสกันจนไม่รู้จะหาทางออกที่ไหนกันแล้ว
.
ที่มาเขียนนี่ไม่ได้มาเอาพลังงานลบมาใส่ให้เราท้อแท้นะ แต่อยากจะมาชวนเราปรับทุกข์กันมากกว่า มันคือการมองโลกด้วยความเป็นจริง และเราไม่สามารถเสแสร้งทำตัวให้มองบวก มองโลกสวยได้แล้ว ผมไม่ได้มีบ้านหลังละ 120 ล้าน ไม่ได้มีเงินมากมายมหาศาล ถึงจะได้มองเรื่องแบบนี้เป็นอีเวนต์สนุกสนานได้ ผมมองด้วยความเป็นจริงครับ
สู้ๆนะ ..... อ่านแล้วอาจจะยิ่งหงุดหงิด เพราะเวลาแบบนี้ใครๆก็อยากจะสู้ แต่ในวันที่ไม่มีรายได้ แต่ค่าใช้จ่ายรุมเร้า มันทำให้เราไม่มีเรี่ยวแรงจะสู้จริงๆนะครับ ส่งกำลังใจ ส่งใจ และที่สำคัญ เมตตา เอื้อเฟ้อ เผื่อแผ่ เห็นใจเพื่อนมนุษย์ในยามนี้น่าจะดีที่สุด ผ่อนปรนช่วยเหลือกัน รัฐบาลพอจะเยียวยาอะไรประชาชนได้ก็รีบออกมาตรการมาไวไวให้ประชาชนได้เห็นให้ชัดเจนได้แล้วนะครับ และที่สำคัญ ปิดเมืองถึง 12 เมษายนนี่ จะปิดถึงแค่นี้หรือจะปิดต่อลากยาวก็ยังไม่รู้ ชีวิตพวกเราเหนื่อยกันมากแล้วนะครับ ตอนนี้แทบจะไม่เห็นอนาคตกันเลย...
สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า ใครล้มขอให้ลุกขึ้นมาได้ไวไวนะครับ